คงไม่ต้องสาธยายให้มากความอีกต่อไปว่าในปัจจุบันอุตสาหกรรมเพลง ภาพยนตร์ และซีรี่ส์สัญชาติเกาหลีใต้ได้รับการยอมรับในระดับสากลมากเพียงใด ไม่ว่าจะเป็น BTS, Blackpink, Squid Game, Parasite, หรือกระทั่ง Broker ที่เพิ่งได้ฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ 

อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลียังไม่ได้มีดีเพียงเท่านี้ เพราะในส่วนของรายการวาไรตี้เองก็เด็ดดวงไม่แพ้กัน กระหน่ำมอบความบันเทิงสู่ผู้ชมอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งบางรางการยังมาพร้อมคอนเซปต์ที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกสนิทสนมกับเหล่าคนดังผ่านหน้าจอ ดั่งเช่นทั้ง 3 รายการที่หยิบยกมาแนะนำในบทความนี้

Men on a Mission (Knowing Brothers)

รายการที่มีคอนเซปต์นำเหล่าโฮสต์อย่าง คังโฮดง, ซอจางฮุน, คิมยองชอล, ลีซูกึน และคิมฮีชอล มาสวมบทเป็นนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยในแต่ละตอนจะมีแขกรับเชิญเป็นเหล่าคนดัง ผลัดเปลี่ยนกันมารับบทเป็นนักเรียนใหม่ พูดคุยเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต รวมทั้งเล่นเกม ให้เหล่าผู้ชม ได้ความน่ารัก เสนห์ในหลากหลายมิติของเหล่านักเรียนใหม่ อีกหนึ่งกิมมิคที่ทำให้ผู้ชมติดงอมแงมทุกคนจะต้องพูดกันด้วยระดับภาษาที่เป็นกันเอง ซึ่งสร้างอารมณ์ขันให้ผู้ชมได้ตั้งแต่ต้นจนจบรายการ

I Live Alone 

รายการที่จะพาผู้ชมไปชมชีวิตเหล่าคนในวงการบันเทิงและกีฬาเกาหลีที่ใช้ชีวิตอยู่ลำพัง โดยให้พวกเขาได้มานั่งชมเทปที่ได้อัดเวลาพวกเขาอยู่ที่บ้าน หรือออกไปทำกิจกรรมต่างๆด้วย เรียกได้ว่าพวกเขาเองจะได้สำรวจตัวเองในมุมต่าง ๆ ไปพร้อมกับผู้ชม ซึ่งหลายครั้งสร้างความประหลาดใจได้ไม่น้อย และก็มีไม่น้อยที่เรียกเสียงฮาแทบตกเก้าอี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองมีพฤติกรรมเช่นนั้น

เสน่ห์ของรายการนี้คือผู้ชมจะได้เห็นมุมชีวิตธรรมดาของเหล่าคนที่มีชื่อเสียง ทำให้ได้รู้สึกว่าพวกเขาเหล่านั้น ก็มีมุมธรรมดา เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็ตกหลุมรักพวกเขามากขึ้นเสียแล้วขณะที่อีกด้านหนึ่ง ก็จะได้เห็นมุมต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่แปลกใจ ว่าเหล่าซุปเปอร์สตาร์สามารถมาถึงจุดที่พวกเขาอยู่ได้อย่างไร 

Omniscient Interfering View

รายการนี้มาในคอนเซปต์ที่คล้ายคลึงกับ I Live Alone นั่นคือการได้ไปเห็นขีวิตของเหล่าคนดังในเกาหลี ทว่าส่วนที่ต่างคือจะมีผู้จัดการส่วนตัวของพวกเขาเข้ามาเป็นตัวละครหลักอีกคน ทำให้เราได้มองเหล่าคนดัง ผ่านสายตาของเหล่าผู้จัดการ รับรู้ถึงมิตรถภาพ ความน่ารักเป็นกันเอง ไปจนถึงการแกล้งกันไปมาระหว่างเหล่าคนดังกับผู้จัดการ พร้อมทิ้งท้ายด้วยข้อคิดดี ๆ ที่สื่อให้เห็นว่าสำหรับอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ คนเบื้องหลังนั้นมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าคนเบื้องหน้าเลย

โดยรายการทั้งหมดนี้ ผู้ชม สามารถหาชมได้ในแอพพลิเคชั่น viu …

สำหรับมือใหม่ที่กำลังฝึกเล่นดนตรีกันอยู่นั้น อาจจะรู้สึกว่ายาก มีอุปสรรคเยอะ หรือเเล่นไม่ได้สักที ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์ เปียโน คีย์บอร์ด กลอง เบส ฯลฯ วันนี้เราจึงได้รวบรวม 5 ทักษะทาง

ดนตรีทั้ง 5 ข้อ ที่รับรองว่าจะช่วยทำให้คุณเล่นดนตรีได้ไวขึ้น และเก่งขึ้นได้อย่างแน่นอน รวมทั้งยังทำให้คุณเข้าใจทฤษฎีทางดนตรีได้ดีขึ้นอีกด้วย

• การอ่านโน้ตด้วยระบบตัวอักษร (Musical Alphabet)

การอ่านตัวโน้ตด้วยระบบอักษร ถือเป็นวิธีที่จะทำให้คุณเริ่มเรียนและเข้าใจทฤษฎีทางดนตรีได้ง่ายขึ้น โดยนักดนตรีที่ดีควรเรียกชื่อโน้ตได้ถูกต้อง และเมื่อคุณมีพื้นฐานในการอ่านโน้ตด้วยระบบนี้แล้ว จะทำให้คุณสามารถเข้าใจทฤษฎีทางดนตรีอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

• กุญแจเสียง (Key Signature)

การศึกษากุญแจเสียงจะทำให้คุณเข้าใจว่าเพลงที่คุณเล่นอยู่นั้น อยู่ในคีย์อะไร เพื่อที่ได้รู้ว่ามีโน้ตตัวไหนที่อยู่ในคีย์นั้นบ้างนั่นเอง

• คอร์ด (Chord)

การศึกษาทางเดินคอร์ดจะช่วยให้คุณเข้าใจทิศทางของเพลงได้เป็นอย่างดี และยังทำให้คุณสามารถเล่น Improvise หรือการคิดโน้ตสด รวมทั้งการเล่น Solo ได้อีกด้วย

• บันไดเสียง (Scale)

บันไดเสียงจะช่วยให้คุณเล่นทำนองของเพลงนั้นได้ง่ายขึ้น รวมทั้งยังสามารถเล่น Improvise หรือการคิดโน้ตสดได้เช่นเดียวกัน

• ขั้นคู่ (Interval)

ขั้นคู่เป็นการบอกระยะห่างของเสียง 2 เสียง ว่าห่างจากกันเท่าไร เช่นโน้ต C แล G ที่เป็นคู่ 5 เพอร์เฟกต์ ทำให้คุณสามารถเข้าใจในการเรียบเรียงการเล่นเสียงอื่นๆ ที่ประสานกันได้นั่นเอง

ทฤษฎีทางดนตรีทั้ง 5 ข้อนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจหลักการอ่านโน้ตและการเล่นดนตรีมากขึ้น แถมยังสามารถนำทักษะเหล่านี้ไปต่อยอดแนวเพลงต่างๆ ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพลง Pop, Jazz และประเภทอื่นๆ ได้อีกด้วย …